เคยคิดกันบ้างไหมว่า“ ในหนึ่งวันเราจะเดินไกลที่สุดได้แค่ไหน” บางครั้งฉันก็ถามตนเอง แต่ก็ไม่เคยให้คำตอบตัวเองจริงๆจังๆ
ตอนไปเดินเขา
Kinabalu ที่ประเทศมาเลเซีย
เราเดินไกลขนาดไหนนะ แล้วดอยม่อนจอง ที่จังหวัดเชียงใหม่ล่ะ ถือว่าไกลหรือเปล่า สำหรับคนที่เดินเขา
เดินป่าเป็นประจำอยู่แล้ว คงไม่มองว่าการเดินไกลๆทั้งวันนั้น เป็นสิ่งที่แปลก แต่ถ้าการเดินนั้นเป็นการเดินในเมืองและมีจุดหมายคือวัดล่ะ
จะให้ความรู้สึกอย่างไร
หลังจากที่เราเดินปวกเปียกกลับมาถึงโรงแรมที่พักในย่านคูต้า แหล่งท่องเที่ยวติดชายแห่งหนึ่งหาดของอินโดนีเซีย
หนุ่มบอยแบนด์รุ่นเล็กและรุ่นใหญ่พนักงานต้อนรับของโรงแรมต่างพากันถามฉัน
หนุ่มบอยแบนด์รุ่นเล็กและรุ่นใหญ่พนักงานต้อนรับของโรงแรมต่างพากันถามฉัน
“คุณไปไหนมา”
“ไป วัดTanah lot มาน่ะ ”
“โอ้ว จริงหรอ แล้วคุณไปยังไง”
“ฉันเดินไปน่ะ”
จากนั้นทุกคนก็ฮือฮาแปลกใจมาก ร้องโอ้โหไปพลางถามว่าจริงหรือเปล่าราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด
ว่าแล้วฉันก็เลยถอดถุงเท้าให้ดูถุงน้ำหนองใต้เท้าเพื่อยืนยันว่าฉันเดินไปมาจริงๆ
ฉันตั้งใจที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ที่ย่านคูต้าประมาณหนึ่งอาทิตย์ด้วยความที่อยากอยู่ในที่ร้อนๆและมีแสงแดด
และอยากอยู่ในที่ๆมีน้ำเย็นให้อาบโดยที่ไม่รู้สึกหนาวสั่น อยากเดินแล้วมีเหงื่อออก
เพราะก่อนหน้านี้ฉันไปแถวๆภูเขาไฟโบร่โม่ และอีเจี้ยนมา
ซึ่งมันหนาวมากและฉันก็รู้สึกไม่ชิน บนเขานั้นฉันอยากนอนห่มผ้าห่มมากกว่าที่อยากจะเดินไปไหนมาไหน
แต่ถ้ามีแสงแดดแล้วล่ะก็ฉันเดินได้เป็นวัน
ระหว่างที่อยู่คูต้านอกจากดำน้ำแล้วฉันก็คิดว่า
ฉันจะไปไหนได้บ้างบนเกาะบาหลีแห่งนี้ รู้มาว่าผู้คนมักจะไปวัดฮินดูกันจึงลองหาในGoogleดูว่ามีที่ไหนที่ฉันพอจะไปได้บ้าง
หลังจากค้นหาใน Goolgle Map ด้วย Keyword Bali temples มีสถานที่ต่างๆแสดงขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วัด
Besakih (Pura Besakih),วัดUluwatu(Pura Uluwatu) แต่ที่สะดุดตามากที่สุดเลยก็คือวัด Tanah
Lot(Pura Tanah lot) ซึ่งเป็นวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นวัดที่อยู่ริมทะเล ซึ่งเราสามารถเห็นได้บ่อยตามโปสการ์ดหรือแม้แต่ในกระทู้พันทิปเพราะผู้คนนิยมไปกัน
เมื่อดูจากแผนที่แล้ววัดTanah Lot อยู่ไม่ไกล จึงลองค้นหาวิธีเดินไปจากที่พักดู เปรียบเทียบกับวัดอื่นๆแล้ว วัด Tanah lot อยู่ใกล้และเดินไปง่ายที่สุด
ซึ่งจากที่Google บอกคือ ใช้เวลา ราวๆ4-5 ชั่วโมง ด้วยระยะทาง 20กิโลเมตร
ก่อนที่จะมาอินโดนีเซียฉันได้เทรนนิ่งตัวเองโดยการวิ่งประมาณวันละ 5กิโลเมตรอยู่แล้วเพื่อเตรียมขึ้นภูเขาคินาบาลู(ฉันไปมาเลเซียเพื่อขึ้นคินาบาลูก่อนที่จะมาอินโดนีเซีย)
จึงคิดว่าถ้าจะเดิน20กิโลเมตรนั้นคงไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรหรอก
ก่อนออกเดินทางได้กินนา “ชิโกเรง” หรือทีเรียกในภาษาไทยว่า “ข้าวผัด” ฉันออกจากที่พักพร้อมด้วยน้ำขวดขนาดพกพาหนึ่งขวด
อ้อ! มีแผนที่ของเกาะบาหลีที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อที่มีScale ถนนกว้างๆให้พอเดินตามไปจนเกือบถึงTanah
Lot ได้
เวลาที่เริ่มออกเดินทางคือ เที่ยงตรง คิดไว้ว่าจะเดินไปให้ถึงวัดTanah Lot ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
การเดินทางช่วงแรกๆออกจะง่าย เดินตรงไปเรื่อยๆ ผ่านย่านเซมิยัค ซึ่งเป็นย่านการค้าริมชายหาดเหมือนกันหากแต่ว่าจะสงบกว่า ถ้าให้เทียบกับเมืองไทย
คูต้าเป็นเหมือนถนนคนเดินพัทยา ส่วนเซมิยัคให้บรรยากาศเหมือนถนนคนเดินภูเก็ตกระมัง
ซึ่งฉันเคยเดินมาที่เซมิยัคแล้วในวันที่ไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษฉันก็จะเดินไปเรื่อยๆ
หิวก็กิน เหนื่อยก็พัก อยากนอนก็กลับไปโรงแรม
เดินผ่านย่านเซมิยัคและเดินมาเรื่อยๆ อากาศค่อนข้างที่จะร้อน
ฉันชอบร้านสะดวกซื้อของบาหลีตรงที่ด้านหน้าจะมีที่นั่งให้ลูกค้านั่งพักด้วย
เวลาที่หิวน้ำและอยากจะพักฉันก็สามารถนั่งพักหลบแดดที่หน้าร้านสะดวกซื้อเลย
เมื่อเดินออกมาเรื่อยๆจากถนนใหญ่สู่ถนนเล็กที่ไม่มีในแผนที่แล้ว เดินต่อไปตามป้ายบอกทางซึ่งคิดว่าคงอีกไม่ไกลนักหรอก
เพราะที่ผ่านมาไม่ยักจะมีป้ายเลย
แต่ถ้าเลี้ยวไหนที่ไม่มั่นใจก็จะถามชาวบ้านแถวนั้น “Tanah Lot Dimana?” คำว่า Tanah Lot อยู่ที่ไหน
เป็นคนพูดที่ฉันจำขึ้นใจ
ไม่ว่าจะชาวบ้าน หรือตำรวจที่ฉันไปถามทางทุกคนต่างตกใจและพากันบอกว่าที่ๆ
ฉันกำลังจะไปนั้นไกลมากนะและ ในขณะที่ฉันกำลังเดินอยู่นั้นก็มีคุณตำรวจขับมอเตอร์ไซค์ตามมา
และย้ำถามว่า
“คุณจะเดินไปจริงๆหรอ” คุณตำรวจถาม
“มันไกลมากนะ จากนี้10กว่ากิโล ทำไมคุณไม่เรียกTaxiล่ะ”
และคุณตำรวจก็ถามอีก
“ไม่เป็นไร ฉันจะเดินไป ฉันเดินมาไกลแล้ว”
“แต่ฝนกำลังจะตกนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันมีร่ม” พูดพลางชูร่มให้ดู
“Taxi ไม่แพงหรอก” คุณตำรวจยังไม่ยอมแพ้
“ไม่เป็นไร ฉันชอบเดิน ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณมาก”
คุณตำรวจที่ตามมาคุยกับฉันด้วยความเป็นห่วงก่อนขี่รถออกไป
จริงๆในใจก็คิดว่า ทำไมไม่พาฉันไปส่งให้ถึงที่เลยล่ะ
ทันทีทันใดนั้นฝนก็ตกลงมา ซุ่ซู่ แรงมาก โชคดีที่ฉันมีร่ม แต่ฝนตกแรงเกินไปจึงทำให้รองเท้าเปียกหมด
ฉันพยายามที่จะเดินต่อไป แต่ทั้งลมที่แรงและเม็ดฝนที่ใหญ่ทำให้ฉันเดินต่อไปไม่ได้
ต้องพักที่หน้าร้าสะดวกซื้อ ณ ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสาม ฉันเดินมาสามชั่วโมงแล้ว
เมื่อฝนเริ่มซา ฉันไม่ลังเลที่จะเดินต่อไปถึงแม้ว่าฝนจะยังไม่หยุดสนิทก็เถอะ
บางเส้นทางเป็นเนินทำให้น้ำฝนไหลลงมาราวกับน้ำตก
และบางจุดก็เป็นพื้นที่ต่ำทำให้มีน้ำขัง
เดินมาเรื่อยๆ เป็นถนนเส้นเดียวที่ยาวสุดลูกหูลูกตา
ข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจี ฉันไม่ยักจะเห็นเลยว่า Tanah Lotอยู่ไหน จึงตัดสินใจถามชาวบ้านแถวนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าฉันเดินมาถูกเส้นแล้ว
และทุกคนก็บอกว่าฉันมาถูกทางและทางมันไกลมาก แต่ข้างทางนั้นสวยมาก สีเขียวรอบตัวฉันเยอะไปหมด และมองเห็นภูเขาด้วย
ที่จริงฉันเองก็เครียด
เพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วแต่ยังไม่เห็นวี่แวว Tanah Lotเลย
วัดนี้อยู่ริมทะเล แต่ไม่เห็นเลยว่าข้างหน้าจะมีทะเล ฉันพยายามจินตนาการถึง
Google Map ที่ดูทางเอาไว้ ไม่มีรถวิ่งผ่านแถวนี้ ไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
และไม่มีTaxi จริงๆก็มีรถบัสทัวร์นะ
เขามาส่งนักท่องเที่ยวที่คิดว่าคงเป็นปลายทางเดียวกันนี่แหละ ในใจตอนนั้นก็คิดเหมือนกันว่าถ้าTaxi
มาจะเรียกดีไหมนะ แต่เห็นว่ามีรถบัสทัวร์จึงคิดว่าคงไม่ไกลจากที่นี่มาก แล้วอีกอย่าง”ฉันเดินมาไกลแล้ว”
ฉันจึงเดินจ้ำอ้าวจ้ำอ้าวไม่หยุด
เมื่อเดินผ่านถนนสายยาวเส้นนั้นก็มีสะพานข้ามแม่น้ำ
ฉันมองเห็นโรงแรมและร้านสตาร์บัคเด่นแต่ไกล แถวนี้เป็นที่อยู่อาศัย มีทั้งบ้านคน
ร้านค้า และโรงเรียน และป้ายวัดTanah Lot ก็เริ่มถี่มากขึ้นด้วย(หรือฉันคิดไปเองนะ)
ผ่านบ้านคน ก็มีทุ่งนาอีก แล้ววัดริมทะเลนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่
“จะเดินกลับเลยดีไหม คงไม่ทันหรอก”
”ถ้าไปถึงแล้ววัดปิดจะทำยังไง”
”ถ้าไปถึงแล้ววัดปิดจะทำยังไง”
ในหัวคิดอะไรต่อมิอะไรต่างๆนาๆ รวมไปถึง
”แล้วขากลับจะทำยังไง”
”แล้วขากลับจะทำยังไง”
ทั้งรถTaxi และรถบัสทัวร์ รวมถึงมอเตอร์ไซค์ วิ่งตามฉันมาติดๆ
ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว
ทุกคนคงออกจากที่พักตอนประมาณบ่ายสามเพื่อมาให้ทันพระอาทิตย์ตกดินที่นี่สินะ
มองไปข้างหน้าฉันเห็นเสาประตูของฮินดูอยู่ไกลๆ
ฉันมาถึง Tanah Lot แล้ว ก่อนพระอาทิตย์จะตกดินเสียอีก
ทันทีที่ฉันมาถึง จู่ๆร่างกายก็อ่อนปวกเปียกไปหมด
ขาฉันไม่มีแรงแต่ก็ยังรากสังขารไปเข้าแถวซื้อตั๋วเข้าวัด
เมื่อเข้ามาในวัด ฉันเดินเล่นถ่ายรูปมุมนั้นทีมุมนี้ที
รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก และดีใจที่ตัวเองเดินมาทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
ฉันเดินลงไปริมทะเล ฟังเสียงคลื่นใกล้ๆ และถ่ายรูปมุมมหาชน
ดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ก่อนที่จะซื้อน้ำอัดลมมานั่งดื่มเงียบๆ
ที่จริงแล้ว ฉันไม่ได้อยากดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ซักหน่อย แต่ที่ฉันรีบเดินเพราะว่าฉันต้องกลับก่อนพระอาทิตย์ตกดินต่างหากล่ะ
มีคนกล่าวไว้ว่า “เมื่อคิดจะล้มเลิก ให้คิดถึงเหตุผลที่เริ่ม”
สำหรับฉันแล้วไม่มีเหตุผลเป็นพิเศษ คิดเพียงแค่ว่า ไม่อยากให้สิ่งที่ทำมานั้นเสียเปล่าไป ไหนจะระยะทางที่เดินมาตั้งไกล
และเวลาที่เดินมาตั้งครึ่งค่อนวัน ไหนจะเท้าที่บวมและบางจุดก็โดนสีจนร้อนและมีหนอง
ถ้าฉันเดินกลับไป หรือแม้แต่เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งถึงจุดหมายปลายทางแล้วล่ะก็ ฉันไม่คิดจะเดินตั้งแต่ทีเรียกเสียยังดีกว่า
ฉันมีโอกาสได้คุยกับคนขับรถรับจ้างในย่านคูต้าที่เขาพาฉันเที่ยววัด
Uluwatuในราคาที่ถูก ชื่อของเขาคือ วายัน เราสองคนคุยกันสนุกมาก เรื่องต่างๆนาๆ
ไม่ว่าจะเรื่องท่องเที่ยว หรือเรื่องการทำงาน และเมื่อฉันเล่าให้ฟังว่าฉันเดินไป
Tanah Lot วายันบอกว่า ถ้าเดินตามถนน
ไม่ใช่ 20 กิโล หากแต่ว่า น่าจะราวๆ 40กิโลเห็นจะได้ และวายันยังสอนภาษาอินโดนีเซียให้ด้วยหนึ่งประโยค
“Saya Sukka Jaran Jaran” แปลว่า “ฉันชอบเดินๆ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น